รีวิว Vita - A By น้องหมาหน้าสวย

Admin

January 1,2021

Review : Dr.Different Vit-A (Retinal)

             มาแล้วกับตัว Vit-A ของ Dr.Different ฮะ ตัวนี้ สิ่งที่อยากให้คาดหวังจากตัวนี้คือ

  1. ริ้วรอย (fine lines) (หลังจากใช้อย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป แต่แนะนำใช้หลักปีนะจ๊ะ) ที่ไม่ได้แปลว่าร่องแก้ม ใต้ตาโหล ร่องน้ำหมาก ร่องลึกจากการแสดงสีหน้าบริเวณหว่างคิ้ว หน้าผาก คาดหวังจากพวกนี้ไปฉีดไปยิงดีกว่านะ
  2. ผิวเรียบเนียนขึ้น
  3. เสริมชั้นผิว
  4. ระคายเคืองที่น้อยกว่าหลายๆแบรนด์

             ส่วนผสมที่อยากพูดถึงและอยากให้รู้จักไว้ Retinal หรือ Retinaldehyde ฮะ ซึ่งก็คืออนุพันธ์หนึ่งของวิตามิน A มียศถาบรรดาศักดิ์เข้าใกล้ Retinoic acid (พวกยาสิว) มากที่สุดในบรรดาอนุภรรยาด้วยกันฮะ Retinyl Ester -> Retinol -> Retinal/Retinaldehyde -> Retinoic acid (รูปที่ร่างกายจะนำไปใช้) ตัว Retina lเปลี่ยนร่างแค่ 1 Step ก็กลายเป็น Retinoic acid ในขณะที่ Retinol เปลี่ยน 2 steps 

              ซึ่งหมายความว่าถ้าไม่นับยาสิวแล้ว  Retinaldehyde ถือว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุด(ในทางทฤษฎี) ในตัวนี้เขาใช้สิ่งที่เรียกว่า Niosome มาเพื่อห่อสารไว้ข้างใน ช่วยเรื่องการส่งลงผิว ลดระคายเคืองจากการทา เพิ่มความเสถียรและเพิ่ม Shelf life ซึ่งทางแบรนด์เองก็มีทดสอบความเสถียรของสารในระยะ 4 เดือนฮะ พบว่าความเข้มข้นของตัว Retinal ในผลิตภัณฑ์ไม่ค่อยลดลง ข้อมูลอันนี้ไปเอามาจากหน้าเว็บได้ แต่ะเป็นภาษาเกาหลีนะฮะ ใครไม่มีกิ๊กชาวเกาหลีก็จะลำบากหน่อย

             ความเข้มข้นที่มีให้เลือกซื้อมี 0.05% กับ 0.1% ฮะ ซึ่งความเข้มข้นทีน้องหมาแนะนำให้ใช้คือ 0.1% แต่สำหรับใครที่หน้าไม่เคยผ่านอะไรมาเลยให้เริ่มที่ 0.05% ก่อนฮะเพื่อความ safe และความระคายเคืองที่น้อยที่สุด พอหน้าด้านแล้วค่อยไป 0.1% ฮะ หรือถ้าคิดว่าหน้ายังสวยเริ่ดดีไม่มีริ้วรอยอยากทาป้องกันเฉยๆก็ 0.05% ต่อไปก็ได้ฮะ

              นอกจากนี้ก็จะเป็น Golden ratioที่เป็นกลุ่มสารเสริมชั้นผิวคอนเซปคล้ายๆกับ MLE,MVE, Crystal Lamella MES ที่เจอใน Atopalm Zeroid, Cerave, Curecode ตามลำดับ ซึ่งประกอบไปด้วย Cholesterol, Stearic acid และ Ceramide น่าจะคุ้นกันอยู่แล้ว เจ้า Stearic acid เนี่ยเป็นกรดไขมันที่ไม่ขาป๊อป พอขาไม่ป๊อปเวลาเรียงตัวมันเรียงได้แน่นฮะไม่เกะกะกัน ทำให้เวลาเสริมชั้นผิวเสริมแล้ว pack แน่น ถ้าในแง่ลด TEWL และงานวิจัยให้ระดับเทียบเคียง MES ของ Curecodeฮะ

🤌🏻เนื้อผลิตภัณฑ์ และ บรรจุภัณฑ์

             หลอดเป็นหลอดทึบแสงปากแคบไม่คืนตัว ทำให้ลดโอกาสที่จะมีอากาศเข้าไปในหลอดได้ดี เหมาะสมสำหรับการเก็บสารในกลุ่มนี้ 

              เนื้อผลิตภัณฑ์จริงๆแล้วเป็นเนื้อครีมด้วยซ้ำ เนื้อหนักประมาณนึง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าหนักจนเกินไปสำหรับคนหน้ามันที่จะทาก่อนนอน

🤌🏻ความระคายเคืองแห้ง

              จะบอกว่าระคายเคืองน้อยมากกก ทั้งกลุ่มที่ผิวแห้ง ผิวมัน คนแก่ที่ให้ลองใช้ คนที่แทบไม่ค่อยได้ทาครีมอะไรซักเท่าไหร่เลย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยบ่นเรื่องแห้งแสบฮะ คิดว่าส่วนนึงมาจาก Niosome อีกส่วนนึงมาจากสูตรที่ใส่ Oil + เสริมชั้นผิวมาด้วย

🤌🏻เรื่องริ้วรอย ผลลัพธ์ Clinical Trial (การทดลองในคนไข้จริง)

             กลุ่มตัวอย่างหลายๆคนที่เกาหลีใช้ตัว Dr.Different นี่แหละในแง่ลดริ้วรอยฮะ เพราะเป็นแบรนด์เกาหลี หาง่ายราคาไม่แรงเลยถ้าซื้อที่เกานะ ซึ่งกว่าจะเห็นผลก็ใช้เวลาหลายเดือนทีเดียวอย่างที่บอกไปว่ามันต้องใช้เวลา ในระยะยาวแล้ว OK เลย แต่จะมาทา 2 เดือน 3 เดือนไม่เห็นผลหยุดดีกว่าแบบนี้ไม่ต้องซื้อ เปลืองเงิน  คิดจะทาทาไปให้มันนานๆ

              ตัว Clinical Trial ของทานแบรนด์น้องหมาไปขอมาได้เรียบร้อยแล้วฮะ (ดีใจมาก) การทดลองเป็นแบบ split-face ในผู้หญิง 22 คน อายุ 35-60 ปี แบ่งหน้าสองข้าง ข้างหนึ่งทา[0.05% retinal 1 เดือนตามด้วย 0.1% อีก 1 เดือน] อีกข้างทา [0.05% retinol เดือน ตามด้วย 0.1% อีก 1 เดือน] จากนั้นวัดด้วยแบบสอบถาม และเครื่องมือวัดริ้วรอย ความชุ่มชื้น ความเด้งของผิว การยกกระชับ ความหนาของผิวฮะ 

             -ริ้วรอยลดลงรวม 23% ที่เดือนที่ 2 (retinol -10%)

             -ความช่มชื้นเพิ่มขึ้น 57% ที่เดือนที่ 2 อันนี้น่าจะเพราะส่วนผสม golden ratio ที่มาช่วยเรื่องชั้นผิว เนื้อครีม และส่วนผสมให้ความชุ่มชื้นฮะ

             -ความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น 20% ที่เดือนที่ 2 (retinol +11%)

             -ความหนาของผิวเพิ่มขึ้น 6% ที่เดือนที่ 2 (retinol +5%)

              Clinical trialแบบ ไม่ใช่ของแบรนด์บ้าง คือของ Hyuck Sun Kwon et al ที่ทำที่ 3 เดือน โดยใช้ 0.05 / 0.1 % Retinal (ไม่ได้ใช้ Niosome) ฮะ ริ้วรอยเริ่มกระเตื้องนิดนึง (ราว2%) ที่เดือนที่ 3 พอดี ผิวเรียบขึ้น แน่นขึ้น เนียนขึ้น รอยดำ เม็ดสีน้อยลง

              ถ้าอยากได้ตัวเลขแบบวัดจริงจังจากน้องหมาอาจจะต้องรอน้องหมาหน่อย เพราะคิวหนูทดลองแน่นมาก แถมต้องทานานมากด้วย แล้วเสร็จคงปีหน้าฮะ แต่อาจจะมาอัพเดทเรื่อยๆ ทุก 1-2 เดือน ให้ดู dynamic เรื่องริ้วรอยว่าเป็นยังไง ต้องขอบคุณอาโกวที่มาเป็นหนูลองยาผลิตภัณฑ์นี้ด้วยฮะ             

🤌🏻Defensin vs Retinal,Retinol

             ต้องมีคนถามแน่ๆว่า ใช้ DefenAge อยู่จะใช้ตัวนี้ดีไหม? ใช้ด้วยกันได้ไหม? ตอบเลยว่าใช้ด้วยกันได้ ออกฤทธิ์คนละกลไกกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นน้องไม่ตีกันแน่นอน แต่ข้อเสียที่คนมักจะทนใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Vitamin-A คือมันใช้เวลากว่าจะเห็นผลค่อนข้างนานสำหรับในแง่ริ้วรอยนะฮะ อย่างต่ำๆ 6 เดือน แต่แนะนำให้ใช้เลยคือหลักปีนะ พวกกลุ่ม retinol retinal ส่วน DefenAge เนี่ยใช้ 2 เดือน 3 เดือนก็เริ่มว้าวแล้ว อย่าลืม! มันคนละกลไกกัน

             นอกจากนี้ตัวกลุ่ม VitA ยังเป็น Tyrosinase inhibitor ด้วยฮะ หมายความว่าจะสามารถยับยั้งเม็ดสีได้ดีกว่า Defensin ที่ใช้วิธีสร้างเซลล์ผิวใหม่มาแทนของเก่าที่มีสี

🤌🏻Retinal สิว?

             ตามหลักการมันช่วยได้แหละฮะแน่นอนทั้งฆ่าเชื้อ ทั้งผลัดผิว ทั้งลดเคราตินแต่ช่วยได้มากพอจะรักษาสิวไหม??? ใช้ tretinoin adapalene(Differin) Tazarotene ประสิทธิภาพ งานวิจัย หวังผลได้มากกว่า ดังนั้นยังไม่แนะนำให้ใช้เป็น mainstay สำหรับรักษาสิว 

🤌🏻วิธีใช้

            สามารถทาหลัง Toner ได้เลยถ้าใจถึง แต่แนะนำว่ามือใหม่ทาหลังสุดจะง่ายที่สุด ป้องกันการเกลี่ยไปโดนจุดบอบบางเช่นปีกจมูก รอบปากด้วยฮะ 

             ถ้ามีริ้วรอยเยอะไม่เคยทา VitA ใช้ 0.05% ก่อนให้หน้าด้าน แล้วปรับไปใช้ 0.1% เมื่อหน้าด้านแล้วฮะ

             ริ้วรอยไม่เยอะ หน้าจิ้มลิ้ม 0.05%ยาวๆ

             หน้าหนา หน้าด้านแล้ว ผ่านมรสุมชีวิตมาเนิ่นนานเริ่ม 0.1%

             0.12% ใช้ได้ถ้ามั่นใจพอ แต่ต้องหาซื้อให้ได้ด้วย เพราะหาซื้อยาก

             สเตปที่น้องหมาจะให้หนูทดลองใช้คือ prep หน้าให้ชินก่อนด้วย 0.05% 1 เดือน แล้วตามด้วย 0.1% จึง optimize ต่อด้วย 0.12% ฮะ

🤌🏻ความเห็นของน้องหมา

             เป็นผลิตภัณฑ์ Vitamin A อีกตัวหนึ่งที่มีในตลาดและมี option เสริมที่น่าสนใจมากกว่าตัวอื่นๆที่มีในตลาดในเรื่องของการเสริมชั้นผิว ละใช้ตัวพาสารอย่าง Niosome ที่ปลอดภัย ประสิทธิภาพดี ด้วยลดการระคายเคืองของสารได้และทดสอบมาแล้วว่าระคายเคืองน้อยจริงๆ น้องหมาทดสอบในแง่ของการระคายเคืองในกลุ่มของ Vitamin-A naive หรือคนที่ไม่เคยใช้ VitaminA ทาหน้ามาก่อนเลย ให้ทา moisturizer ตามปกติ แทบไม่มีอาการแห้งแสบซึ่งถือว่าน่าประทับใจฮะ

เตือนอีกครั้งก่อนตัดสินใจจะซื้อ => จะใช้ VitA หรืออนุพันธ์ของมันทำใจไว้ก่อนว่าเป็นการเดินทางที่แสนยาวไกลเพื่อตามหาความสวยบนใบหน้า อุตส่าห์ทนช่วงแห้งแสบช่วงแรกมาแล้วจะรีบเลิกทำไม รอมันเห็นผลก่อน ถ้าจะใช้แล้วไม่ได้มีปัญหาเรื่องบประมาณก็ใช้ยันตายได้เลย แบบ DefenAge cream นะ

ไม่อยากอ่านรายละเอียดเยอะให้จบเท่านี้

————————————————————————————————————-

Ingredients

-Retinaldehyde (Available: 0.05%,0.1%,0.12%)

             Retinol ถูก oxidized ด้วย retinol dehydrogenase (reversibly) เป็น Retinaldehyde หรือ Retinal จากนั้น Retinal ก็จะถูก oxidized ด้วย Retinaldehyde dehydrogenase(irreversibly) ไปเป็น Retinoic acidซึ่งเป็นรูปที่เซลล์ผิวสามารถใช้ได้เลย กระบวนการนี้ตัว Keratinocyte หรือเซลล์ผิวเองสามารถทำได้นะฮะ

              Retinoic acid นี้พอลงผิวไปแล้วจะไปเพิ่ม CRABP2 mRNA โดย Retinoic acid เพิ่มได้มากกว่า>Retinal เล็กน้อย > Retinol ซึ่งตัว CRABP2 เนี่ยจะพาโมเลกุลของ Retinoid ไปจับกับ Retinoic acid receptor(RAR) และ Retinoid X receptor(RXR) ซึ่งจะไปเปลี่ยนแปลงระดับของ Gene expression หลายๆตัวต่อไปทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนมากขึ้นผ่านการกระตุ้น fibroblast ยับยั้งการสลายคอลลาเจน อีลาสติน Extracellular matrix จากการยับยั้งพวกกลุ่ม MMP retinoid ลงไปทำให้การจับกันของ epidermis หลวมขึ้น อำนวยให้กรผลัดผิวเป็นไปได้เร็วมากขึ้น เพิ่ม Skin turnover rate ลดอักเสบ(เพิ่มขึ้นได้ในช่วงแรก)เป็น Antioxidant ที่ดี ยับยั้งเม็ดสีด้วยกลไก tyrosinase inhibitor ลดการส่งผ่านเม็ดสี และลดการทำงานของ melanocyte ที่ถูกกระตุ้น ทำให้หน้าดูเรียบเนียนขึ้นจากหลายๆกลไกฮะ แต่อะไรทำให้ตัวนี้โดดเด่นกว่าตัวอื่นๆในตลาด?

               สิ่งที่พิเศษของตัวเซรั่มนี้คือ Niosome ที่แบบที่เป็น patent ของทางแบรนด์เองเลย ใครก็มาใช้สูตรนี้บ่ได้ Niosome คือ vehicle technology นึงซึ่งเกิดมาตามหลัง liposome จากที่เรารู้กัน liposome คือ phospholipid ที่ถูกทำให้กลายเป็นทรงกลมและเก็บสารไว้ด้านใน ถ้าเป็นสารละลายในนำก็จะอยู่ใน hydrophilic domain ส่วนถ้าเป็นสารละลายในไขมันได้ดีจะอยู่ในชั้น lipid ข้อเสียคือการใช้ phospholipid ที่บริสุทธิ์ราคาแพงมาก นอกจากนี้ยังสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกริยา Hydrolysis Peroxidation ต่างๆทำให้ liposome ต้องทำ formulation ออกมาลดปฏิกริยาตรงนี้ด้วยฮะ จึงได้เกิดเป็น Niosome ที่จะใช้ non-ionic surfactantมาทำให้เป็นทรงกลม อาจเติม Cholesterol เข้าไปเพื่อลดการ leak ของสารฮะ ซึ่ง delivery system นี้เองพบว่าเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกริยาดังกล่าวน้อยกว่า chemically stable มากกว่านั่นเองพูดง่ายๆ เพิ่มความเสถียรของสารในบรรจุภัณฑ์ และเพิ่มการทะลุเข้าไปใต้ผิว ตัวกลไกการพอสารเองมีเสนอไว้หลายกลไกหลายทฤษฎีมาก แต่ยังไม่มีกลไกไหนที่ครบคลุมทั้งหมดฮะ ทั้ง Endocytosis Fusion Aggregation Adhesion ต่างๆ 

            ในแง่ของ Efficacy เอง ยังไม่ได้มีงานวิจัยตีพิมพ์เกี่ยวกับ Retinaldehyde in Niosome ส่วนใหญ่จะเป็นการใส่ยาเข้าไปใน vehicle มากกว่าฮะ

             ในส่วนของความเข้มข้นที่เหมาะสมที่สุด ดีที่สุด ตอบสนองดีที่สุด บอกตามตรงว่าน้องหมาก็ไม่รู้ฮะเพราะเราไม่ได้มีข้อมูลในจุดนี้ และยังไม่ได้มีการทดลอง dose/response เทียบกันในแต่ละความเข้มข้น การทดลองส่วนใหญ่ถ้าใช้กับหน้านะฮะจะเป็น 0.05% กับ 0.1% เป็นหลักที่พบว่าได้ผลในเรื่องการกระตุ้นคอลลาเจน และผลข้างเคียงไม่เยอะเกินไปฮะ ถือว่าทางแบรนด์เลือก % ที่งานวิจัยส่วนใหญ่ Support 

             Creidi P et al ทำการทดลองในคน135คนฮะ ทดลอง 6 เดือนเลย ทา 0.05% retinal vs 0.05% tret 44 สัปดาห์ หรือประมาณ 11 เดือน แล้วเทียบกันระหว่างสองกลุ่มฮะ พบว่าไม่ได้ต่างกันอย่าง significant ในแง่ของการลดริ้วรอยนะฮะ เทียบกัน 11 เดือนนะ แต่ตัว tret นี้มีความระคายเคืองมากกว่า เลยสรุปว่า retinal กับ tret ที่ % เท่ากัน ลดริ้วรอยได้พอๆกัน อย่างไรก็ตามการทดลองนี้ไม่ได้เยอะมาก และเป็นหนึ่งในไม่กี่การทดลอง นอกจากนี้ยังมี Diridollou et al และ Ochando N et alที่ใช้ที่ทำเทียบกับ control group ให้ผลไปในทางเดียวกันถ้าจะเทียบเปเปอร์ที่ยันหลัง tretinoin ยังไงก็ชนะอยู่ดีฮะ ระดับ paper ขอ retinal ในเรื่องริ้วรอยเทียบๆเคียงๆได้กับ Adapalene (aka differin) เท่านั้นเอง

              Mordon S et al ให้ทา retinal 0.05% หลังทำ Erbium-glass เพื่อกระตุ้นคอลลาเจน พบว่ากลุ่มที่ทาเนี่ยหนังหนากว่ากลุ่มที่ไม่ทา แต่ทั้งสองกลุ่มหนังหนาขึ้นทั้งคู่(แน่อยู่แล้ว) จริงๆ paper พวก VitA คือมีเยอะมาก น้องหมาเอามาได้ไม่หมดแน่นอน ใครอยากอ่านเพิ่มเติมสามารถตาม Reference ไปได้อีกฮะ สนุกดี

-Water

            หรือเรียกอีกชื่อว่าน้ำ เป็นน้ำที่ใช้ดื่มกิน ใช้ชำระล้างร่างกาย และสามารถใช้เป็นชื่อเล่นของคนไทยได้อีกด้วย ไม่น่ามีใครไม่รู้จักน้ำ 

-Cetyl Ethylhexanoate

            คือ Cetyl alcohol + Ethylhexanoic acid ตัวแรกเป็น Fatty Alcochol ที่คอยทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวและเคลือบผิวฮะ ส่วนตัวหลังเป็น esters พอสมาสชนสนธิเชื่อมกันแล้วทำหน้าที่คล้ายๆเดิมและยังทำให้ตัวสกินแคร์ที่ให้ฟีลลื่น Silky เกลี่ยง่ายอีกด้วย

-Glycerin

ความชุ่มชื้น ยอดนิยม ไม่มีใครไม่รู้จักฮะ

-Squalane

เป็นสารกลุ่ม emollient ที่ซึมไว้ บางเบา เคลือบผิว

-Saffflower Seed Oil

Composition หลักเป็น Linoleic acid ช่วยอุดรอยรัวผิว ลดอักเสบ dilute sebum บนหน้า ลดการอุดตัน

-Butyrospermum Parkii (Shea Butter)

เหมือนเดิมฮะ รู้จักกันดีอยู่แล้ว

-Cholesterol + Stearic acid + Ceramide 3 Golden ratio

             ตัวนี้ทางแบรนด์ยอมแจ้งมาว่าใส่ความเข้มข้นรวม 3% ด้วย Golden ratio สำหรับเสริมชั้นผิวฮะ 

-Sodium Hyaluronate + Polyglutamic acid

             ทั้งคู่เป็น humectant ที่ประสิทธิภาพสูงโดยเฉพาะ polyglutamic acid ที่มีความสามารถในการดูดน้ำได้มากกว่า Hyaluronic acid ซะอีก ตัวจากสูตรไม่ได้ใส่มาเยอะไม่น่ากังวลใจมากเท่าไหร่ แต่ก็สามารถคาดหวังเรื่องการพอความชุ่มชื้นได้อยู่ฮะ

-Oleic acid

              เป็นกรดไขมันที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับ LA ฮะ ตัวนี้ใส่มาน้อยๆเพื่อหวังให้เป็น Penetration Enhancer

-Tocopherol 

              Vit E ฮะ Antioxidant

-Adenosine 

             สารตัวนี้เจอบ่อย พบได้ตามร่างกายเราอยู่แล้วฮะ มีงานวิจัยหลายๆที่พยายามพูดเรื่องลดริ้วรอย กระตุ้นคอลลาเจนนะฮะ แต่น้องหมาว่าที่คาดหวังได้คือพวกการลดระคายเคือง ลดอักเสบ สมานแผลมากกว่า

             จะเห็นได้ว่าในสูตรเต็มไปด้วยสารที่มาช่วยเคลือบผิว เติมน้ำให้ผิว เสริมชั้นผิวทั้งนั้นเพื่อต้านความแห้งความระคายเคืองที่จะตามมาหลังใช้ Retinaldehyde และการใช้ penetration enhancer หลายๆตัวเพื่อเพิ่มการลงสู่ผิวฮะ

สรุปส่งท้าย : เป็น Serum Vitamin A (Retinal) ตัวหนึ่งในตลาดที่ราคาไม่ได้แพงจนเกินไป จับต้องได้ สารเสถียร ระคายเคืองน้อยกว่าแบรนด์อื่นๆในตลาด และเสริมชั้นผิวได้ กลิ่นเนื้อสัมผัสไม่แย่มากจนไม่สามารถทนใช้ได้

ใครสนใจก็เชิญที่เพจตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ https://www.facebook.com/DrdifferentTH            

Reference

-Kajal Babamiri, MD, Reza Nassab, MBChB, MBA, MRCSEd, MRCSEng, Cosmeceuticals: The Evidence Behind the Retinoids, Aesthetic Surgery Journal, Volume 30, Issue 1, January 2010, Pages 74–77,

-Hyuck Sun Kwon MD et al. Efficacy and safety of retinaldehyde 0.1% and 0.05% creams used to treat photoaged skin: A randomized double‐blind controlled trial. Journal of Cosmetic Dermatology.2018

-Fluhr JW, Vienne MP, Lauze C, Dupuy P, Gehring W, Gloor M. Tolerance profile of retinol, retinaldehyde and retinoic acid under maximized and long-term clinical conditions. Dermatology. 1999;

-Shao Y, He T, Fisher GJ, Voorhees JJ, Quan T. Molecular basis of retinol anti-ageing properties in naturally aged human skin in vivo. Int J Cosmet Sci. 2017

-Kong R, Cui Y, Fisher GJ, Wang X, Chen Y, Schneider LM, Majmudar G. A comparative study of the effects of retinol and retinoic acid on histological, molecular, and clinical properties of human skin. J Cosmet Dermatol. 2016

-Mukherjee S, Date A, Patravale V, Korting HC, Roeder A, Weindl G. Retinoids in the treatment of skin aging: an overview of clinical efficacy and safety. Clin Interv Aging. 2006

-Zasada M, Budzisz E. Retinoids: active molecules influencing skin structure formation in cosmetic and dermatological treatments. Postepy Dermatol Alergol. 2019

-Jean Hilaire Saurat et al. Topical Retinaldehyde on Human Skin: Biologic Effects and Tolerance. Journal of Investigate Dermatology.1998

-Creidi P, Vienne MP, Ochonisky S, Lauze C, Turlier V, Lagarde JM, Dupuy P. Profilometric evaluation of photodamage after topical retinaldehyde and retinoic acid treatment. J Am Acad Dermatol. 1998

– Ochando N, LaGarde JM, Couval E, et al. Evaluation clinique et paraclinique des effets du rétinaldéhyde topique dans le photovieillissement cutané Nouv Dermatol. 1994

– Diridollou S, Vienne MP, Alibert M, Aquilina C, Briant A, Dahan S, Denis P, Launais B, Turlier V, Dupuy P.Efficacy of topical 0.05% retinaldehyde in skin aging by ultrasound and rheological techniques.

Dermatology. 1999

– Mordon S, Lagarde JM, Vienne MP, Nocera T, Verriere F, Dahan S et al.Ultrasound imaging demonstration of the improvement of non-ablative laser remodeling by concomitant daily topical application of 0.05% retinaldehyde.J Cosmet Laser Ther. 2004 

– Wanping Zhang*, Lingyan Liu. Study on the Formation and Properties of Liquid Crystal Emulsion in Cosmetic. Journal of Cosmetics, Dermatological Sciences and Applications,2013

– Gemma Latter et al. Targeted Topical Delivery of Retinoids in the Management of Acne Vulgaris: Current Formulations and Novel Delivery Systems. Pharmaceutics. 2019

-M.J.Choi et al. Liposomes and Niosomes as Topical Drug Delivery Systems. Skin pharmacology and Physiology. 2005

-Kshitij B Makeshwar et al. Niosome : A Novel Drug Delivery System. Asian J. Phar. Res.2013

-Pei Ling Yeo et al. Niosomes: a review of their structure, properties, methods of preparation and medical applications. Asian Biomed (Res Rev News) 2017

-Prabha A Singh et al. Niosome – A novel tool for anti-aging cosmeceuticals. Indo American Journal of Pharmaceutical Research.2016