รีวิว Vita - A By Game Rak MadamGrean

January 1,2021

มาถึงคิวแบรนด์ Dr.Different Vita-A Cream ที่อาจจะต้องยกให้นางจริงๆแหละ  ผลวัดมาค่อนข้างว้าวเลยสำหรับ ราคาพันต้นๆ 

ค่อนข้างยาวนะและงานวิจัยเยอะแนะนำล้างหน้าล้างตาก่อน

เป็นแบรนด์เกาหลี ที่คิดค้นโดย Dr.Lee ที่เป็นแพทย์ผิวหนังและเคยทำวิจัยพัฒนาแบรนด์เครื่องสำอางของเกาหลีมาหลายเจ้า    

มาถึงตัวที่จะรีวิว Vita-A โดยจะเป็นผลเดือนที่ 1 

ตัวนี้ต้องบอกว่าสูตรทำมาครอบคลุมและมีการจดสิทธิบัตรร่วมถึงงานวิจัย Medical Research Center  ในส่วนของสาร active ingredient ตัวหลักเลยก็คือ Retinaldehyde ที่แตกตัวไปเป็น Retinoic acid  เพียงแค่ขั้นตอนเดียวพูดง่ายๆแตกตัวขั้นตอนเดียวออกฤทธ์ได้เลย เพิ่มเติม retinoic acid ที่เป็น active metabolite ของวิตามินเอ ที่จะออกฤทธ์ต่อผิวแตกมาตัวนี้เยอะก็ประสิทธิภาพมากขึ้นนั้นเอง 

Retinyl palmitate–> Retinol –> Retinaldehyde (Retinal) –> Retinoic acid [1]

แต่การที่ใช้ Retinaldehyde เองไม่ใช่ทุกๆแบรนจะใช้เพราะไม่เสถียรจากงานวิจัย เพราะจะพบว่าการเสื่อมของพวก retinoids ทั้งหลายเจอได้บ่อยส่วนนี้มาดามเคยบอกไปแล้ว เพราะจากการศึกษาแบรนต่างๆพบว่าแทบจะทุกแบรนปริมาณ retinoids ลดลง 0-80% ที่ 6 เดือนใน 12 สินค้า(หลายตัวแบรนดังด้วยนะ) และจะยิ่งเสื่อมไวถ้าตั้งไว้ที่อุณหภูมิที่ร้อนมากเกินไป(หายไป 33%) แม้ว่าตัวที่ดีที่สุดที่ทดสอบจาก 12 แบรนก็ยังพบว่า retinoids หายไปถึง 40%  [ใครอยากอ่านเพิ่มเติมเรื่องการเสื่อมของ retinoids ไปอ่านที่งานวิจัยที่  [2]  

ตัดกับมาที่ Dr.Different เค้าใช้ retinaldehyde ใน Niosome technology [ถูกจดสิทธิบัตรแล้วที่เกาหลี] ที่ช่วยเพิ่มความเสถียรของ Retinal และจากการทดสอบ HPLC พบว่าที่ 3 เดือน Retinal ยังอยู่ในหลอดมากถึง 98% การที่แบรนบอกแบบนี้ทำให้เรารู้ว่าเค้ารู้และเข้าใจถึงการ ทำสูตร retinoids ว่ามันเสื่อมได้ง่าย คือเค้าถือว่าค่อนข้างใส่ใจมากเลยนะมองในผู้บริโภค แทบจะไม่ค่อยมีแบรนมาพูดเรื่องพวกนี้หรือโชว์พวกนี้เท่าไหร่เลย 

ในเรื่องงานวิจัยที่ทำ Retinal จริงๆแล้วเยอะไหม?? มาดามขอยาวหน่อยเพราะขี้เกียจจะมาตอบเลยใช้โอกาสนี้สรุปให้ฟังเลย

1.งานวิจัยในแง่ประสิทธิภาพ Retinal เทียบกับ Retinoid acid (RA)

จากการศึกษาพบว่า Retinal ให้ผลใกล้ๆเคียงกับ RA [3,4] แต่งานวิจัย 2 อันก็อาจจะเร็วไปว่าจะเท่ายา

2.งานวิจัยกับผิวเสียจากแสงแดด [ริ้วรอย ผิวหมอง จุดด่างดำ]

-มาดามยกงานวิจัยนี้มา เป็นงานวิจัยใหญ่งานหนึ่งทำหลากหลายสถาบันกับ 1017 อาสาสมัครพบว่า 77% ริ้วรอยดีขึ้น และ 79% ลดจุดด่างดำจากแสงแดด และ 2% รายงานว่ามีการระคายเคือง แต่นี้เป็น Subjective assessment ดังนั้นการบอกว่าดีขึ้นอาจจะเร็วเกินไปเพราะใช้ไม่ได้วัดผ่านเครื่องมือ [5]

-งานวิจัยต่อไปเป็นแบบ RCT กับ 125 อาสาสมัครพบว่าสามารถลดริ้วรอยได้อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.05) รวมถึงอาการแสดงของผิวเสียจากแสงแดด (Photoaging) ด้วยการใช้ 0.05% Retinal งานวิจัยนี้เค้าทำเทียบกับยา Retinoic acid ด้วยผลที่วัดแต่ละช่วงผลไม่แตกต่างกัน แต่ทั้ง 2 กลุ่มดีขึ้นทั้งคู่ในเรื่องริ้วอรยและผิวเสียจากแสงแดด แต่ Retinal ระคายเคืองน้อยกว่า [6]  

-ปี 2018 คณะแพทย์แผนกผิวหนังทำ RCTs ทดสอบ 0.05% กับ 0.1% Retinal กับผิวเสียจากแสงแดดกับ 40 เคส พบว่าทั้ง 2 ความเข้มข้นช่วยอาการแสดงของผิวเสียจากแสงแดดได้ อาทิ ลดริ้วรอย (13.7% สำหรับ 0.1% และ 12.6% สำหรับ 0.05%) ความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น 10% (0.1% Retinal) และ 6% (0.05% Retinal) และที่สำคัญคือลดเม็ดสีมีนัยสัญในการลดลงเมื่อใช้ความเข้มข้น 0.1% Retinal  ;  งานวิจัยนี้ค่อนข้างโอเคเพราะเป็น RCTs ทำโดยคณะแพทย์และไม่มีสปอนเซอร์ [7]

-มางานวิจัยสุดท้ายของที่ทำโดยแบรน Dr.Different เค้าทำเทียบ Retinal Vs. Retinol กับ 22 คน ทาฝังละข้าง โดยเดือนแรกเค้าใช้ 0.05% Retinal vs. 0.05% retinol และเดือนที่ 2 เค้าใช้ 0.1% Retinal vs. 0.1% Retinol  จากงานวิจัยนี้พบว่า ที่ความเข้มข้นเดียวกันเทียบกัน พบว่า Retinal ดีกว่า Retinol ในความเข้มข้นเดียวกันทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย(p<0.05) ความชุ่มชื้น(p<0.05) ความยืดหยุ่น(p<0.05) ความกระชับของผิว(p<0.05) ความแน่นของผิว(p<0.05)

3.ประสิทธิภาพ Retinal เมื่อเทียบกับ Retinol 
ตอบคำถามนี้ได้ ต้องอ้างอิงงานวิจัยใน Saurat et al จากงานวิจัยนี้พบว่า Retinal โชว์ CRABP-II (เป็นตัวที่บอกประสิทธิภาพการทำงานของ Retinoids) มากกว่า Retinol และจากงานวิจัยของ Dr.Different ผลการทดสอบก็ยืนยันในเรื่องนี้ [แต่งานวิจัยทำโดยแบรนก็อาจจะต้องรองานวิจัยเพิ่มเติม]

ผ่านจากเรื่อง Retinal แล้วเค้ายังเบสออกมาที่มีไขมันที่ส่งเสริมชั้นผิว(ไม่ทราบสัดส่วนแน่นอน แต่ไม่ซีเรียสเพราะว่าต้องวัดอยู่แล้ว) ในตัวนี้เค้ามี Cholesterol, Fatty acid และ Ceramide เข้ามา สัดส่วนเท่าไหร่ไม่รู้แต่วัดค่า TEWL มาก็น่าจะพอบอกคร่าวๆว่า work ไหม

นอกจากนี้ในสูตรก็มี Adenosine + Sodium hyaluronate ที่มาเสริมเรื่องการอุ้มน้ำใต้ผิวและริ้วรอย 

ผลการทดสอบ

Subject อายุ 40 ปี เป็นสิว เป็นๆหายๆ 

หยุดทายารักษาสิว 1 อาทิตย์เหลือแค่ทากันแดด 

Photoaging เกรด 2 

มาดามต้องบอกว่าผลลัพธ์อันนี้ เกิดจากการใช้ vita-A 0.05% 2 อาทิตย์กว่านิดๆและ 0.1% vita-A [เพราะเคสนี้ทาเยอะหน่อยในช่วงแรกเนื่องจากใบหน้าใหญ่และนางก็บีบเยอะไปด้วย ดังนั้นอาจะระคายเคืองได้ ซึ่งจากการวัดก็ชัดเจนว่ามีการระคายเคืองเกิดขึ้น หลังทราบมาดามก็แนะนำให้ทามาปริมาณเม็ดถั่วเหลือให้ได้]

ผลลัพธ์ไปดูทีละรูปได้เลย คลิกกดดูที่รูปจะมีคำอธิบายนะ

หากใครสนใจสามารถติดต่อได้ที่ ตัวแทนประเทศไทย –> https://web.facebook.com/DrdifferentTH

OR

https://shopee.co.th/dr.differentthailand?fbclid=IwAR3wGFTPWAL62z48nCd9MscatOvaRdyvLtzma_8oGIkUvDHd22N7SDjiPIQ

มีหลายความเข้มข้นนะ 
0.05% ราคา 1,350 
0.1% ราคา 1,450 
0.12% ราคา ??? นางไม่ได้แจ้งมาจ้า

ปล.ตัวนี้ไม่มี alcohol และ น้ำหอมนะ

Reference 
1] https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6791161/
2] https://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/jocd.13852
3] https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0022202X94958181
4] https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/8875955/
5] https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/10473961/
6] https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/9843009/
7] https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/29663701/

เป็นผลการทดสอบที่ 3 เดือนพบว่า ยังมี Retinal ในหลอดมากกว่า 97%

ผลการทดสอบในเรื่องความชุ่มชื้นพบว่าดีขึ้น 34% [เดิมน่าจะผิวแห้งจากยาสิวด้วยแม้จะหยุดยามา 1 อาทิตย์]

ในแง่การเสริมชั้นผิวพบว่าดีขึ้น แต่ เกราะชั้นผิวคนนี้เดิมอยู่ในเกณฑ์ผิวปกติค่าอยู่ที่ 20.5 (TEWL 15-25) หลังจากใช้พบว่าการเสริมชั้นผิวดีขึ้น 9 % ที่ 4 อาทิตย์ จากเดิม 20.5 ลดมาเหลือ 18.5 ก็ถือว่าได้อยู่ยังรักษาระดับเกราะชั้นผิวให้ปกติ แต่ก็ยังไม่อยู่ในระดับที่ดี  (TEWL < 15) 

Take home message!! ดังนั้นเวลาใช้จริงๆ แนะนำให้เสริมชั้นผิวร่วมด้วยพยายามกดค่า TEWL ให้ลงมาต่ำกว่า 15 จะใช้ MLE / MVE/ Curel ก็ทาไปเหอะ ขอให้เสริมเพิ่มเติม

ค่าเม็ดสีเมลานินและความแดงละเป็นไง 

จากการทดสอบพบว่าค่า melanin index เม็ดสีลดลง 5%  ก็สอดคล้องกับค่า ITA ที่พบว่าผิวขาวเพิ่ทขึ้นนิดหน่อยที่ 7%[แต่ยังไม่เห็นจากตาเปล่านะ มันน้อยมาก] 

แต่สิ่งที่เห็นเลยชัดเจนคือ ใต้ผิวระคายเคืองขึ้น 16% น่าจะมากจากระคายเคืองจากการที่ทาเยอะและstep up จาก 0.05%–> 0.1% ไวเกินไป PLEASE ดังนั้นอย่าปรับระดับความเเรงเร็วเกินไป แต่อย่าลืมว่า เคสนี้ทาเดียวๆไม่มีครีมที่มีสารละระคายเคืองใดๆ moisturizer ใดๆ เลยนอกจากตัวนี้และตอนเช้าก็ทาแค่กันแดด 

ในชีวิตจริงเราไม่ได้ทาเดียวๆอยู่แล้ว จากผลนี้ทำให้ มาดามแนะนำว่า ทาปริมาณที่เหมาะสมเม็ดถั่วเขียว ถ้าผิวระคายเคืองง่ายทา moisture ก่อนแล้วค่อยทา Retinal เพื่อลดการระคายเคือง  และไม่ควรปรับความเข้มข้นไวเกินไปเพราะระคายเคืองเค้าคิดว่าเกิดจากการที่ Overload ของ RA ที่ผิวหรือง่ายๆ ทาเยอะไป นั้นแหละ

ค่า ITA หรือโทนสีผิว ที่พบว่าผิวขาวเพิ่มขึ้นนิดหน่อยที่ 7%[แต่ยังไม่เห็นจากตาเปล่านะ มันน้อยมาก]  เพิ่มขึ้นแต่ไม่มากพอที่จะเห็นควมแตกต่าง แนะนำใช้คู่กับ B3 ถ้าอยากจะเพิ่มโทนสีผิวให้ขาวขึ้น

เรื่องปริมาณการผลิตน้ำมันพบว่า เพิ่มขึ้นจากเดิม 47 ไป 82 ก็สอดคล้องกับ Sebofix พบว่าน้ำมันผลิตเยอะขึ้น 

มาดามจะบอกว่าน่าจะกลับเข้าสู่สภาพเดิมมากกว่าหลังจากทายาสิวก่อนหน้า เพราะผิวชุ่มชื้นขึ้นและหยุดยาสิวอาการแห้งจากยาก็อาจจะคืนสภาพ ต้องรอผลที่ 2 เดือนเดียวมาดามจะมา update ว่าค่าการผลิตน้ำมันเป็นอย่างไร

ในเรื่องผิวยืดหยุ่นต้องบอกว่าทำได้ค่อนข้างดีที่ 1 เดือนค่าขึ้นมาจาก 66 ไป 77 คิดเป็น 16% ถือว่าค่อนข้างโอเคเลยในเรื่องยืดหยุ่น รอดูผลที่ 2 และ 3 เดือนต่อไป

จาก visioscan พบว่าริ้วรอยดีขึ้นและผิวเรียบมากขึ้นจากเดิม [จริงๆตอบยากจาก retinal หรือ ความชุ่มชื้น เอาเป็นว่าดีขึ้นจากครีมตัวนี้จะดีกว่า ] นอกจากนี้ค่ามาดามทำ 3D จะเห็นเลยว่าผิวเรียบขึ้น

เป็นภาพ 3D ก่อนและหลังทา 1 เดือน พบว่าผิวหยาบกร้านลดลง ขรุขระลดลง รอดูต่อไปว่าจะดีกว่านี้ไหม

ในการผลัดผิวแม้ Retinal จะออกฤทธ์ด้านล่างๆมากกว่าด้านบนแต่ก็ไม่ถึงกับว่านางทำไม่ได้นะเพราะจากการทดสอบพบว่าการผลัดผิวก็เหมือนจะดีขึ้นอยู่(แต่อาจจะไม่ดีเท่า AHA/BHA) แต่ในเคสนี้ไม่ได้มีขุยหนามากเลยอาจจะยังสรุปไม่ได้ รอดูที่ 2 เดือนจะเรียบกว่านี้ 

ดังนั้น ถ้าผิวไม่ได้ระคายเคืองการใช่คู่กับ PHA ก็จะช่วยให้การผลัดผิวดีกว่านี้ได้ไวมากขึ้น

สำหรับเรื่องสิวกับ Porphyrin  จากรูปดูเหมือนจะลดเยอะนะแต่วัดขนาดคำนวณแล้วดีกว่านิดหน่อยประมาณ 1.8% ก็สอดคลองกับหมู่ aldehyde สามารถฆ่าเชื้อสิวได้ และหากและจากการใช้ Vita-A พบว่าคนที่เป็นสิว สิวอาจจะเห่อได้ในช่วงแรกนะที่ดันสิวออกมา (ดูจากรูปบนจะพบว่ายังมีอุดตันอยู่) แต่ถ้าไม่มีสิวก็ไม่น่าจะต้องกังวละไร 

ปล. Porphyrin เป็นค่าหนึ่งที่ใช้ประเมินและต้องใช้ค่าอื่นๆพิจารณาร่วมด้วย

เหมาะกับใคร !!!

1)คนผิวไม่เรียบ, ผิวสากไม่เรียบเนียน หรือ ต้องการป้องกันแต่ยังไม่มีริ้วรอยจัดเจนแนะนำให้ทา 0.05% ยาวๆๆ วนไปไม่ต้องเพิ่มความเข้มข้นเว้นแต่มีริ้วรอย

2)กังวลริ้วรอย ถ้ามีริ้วรอยแล้วแนะนำให้เริ่มต่ำสุดก่อนไม่ต้องรีบเพราะระคายเคืองได้แบบเคสนี้ แนะนำใช้ 0.05% –> 0.1% –> 0.12%  ก่อนจะเพิ่ม % แนะนำให้อยู่กับ % นั้นก่อนสัก 1 เดือนนะเป็นอย่างน้อย

3)ผิวหมองคล้ำเสีย

อันนี้เป็นผลแค่ 1 เดือน มาดามจะมาอัพผล 2 และ 3 เดือนต่อไป ว่าจะดีกว่าเดิมแค่ไหน