รีวิว Vita - A By Ingck

January 1,2021

❤️  สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคน! ช่วงที่ผ่านมาอิ๊งได้คำถามเกี่ยวกับวิธีการรักษาริ้วรอยเยอะมาก เป็นหัวข้อที่อิ๊งได้ศึกษามาแล้วแต่ยังไม่ค่อยได้พูดถึงเท่าไหร่เพราะหาผลิตภัณฑ์ดีๆมาแนะนำยากมากเลยครับ แต่วันนี้อิ๊งเจอตัวที่น่าสนใจที่อยากมาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนครับ เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Vitamin A ที่ทำให้อิ๊งประทับใจจากมุมมองส่วนผสม 

✅ ในมุมมองของอิ๊ง กลุ่มส่วนผสมหรือ active ingredient ที่มีงานวิจัยสนับสนุนยาวนานและเยอะที่สุดในการรักษาริ้วรอยก็คือ Vitamin A อย่างที่คุณหมอผิวหนังชื่อดังที่อิ๊งชื่นชอบ Dr.Ranella Hirsch, MD, FAAD ได้เคยกล่าวไว้ “การใช้ Vitamin A อย่างต่อเนื้องหลายเดือนหรือหลายปีเป็นวิธีที่ถูกและเห็นผลที่สุดในการรักษาริ้วรอย เหมือนการฉีด Botox แต่เพียงแค่ต้องใช้เวลาและความอดทนกว่าเท่านั้นเอง”  

✅ แต่ Vitamin A มีหลากหลายแบบมากๆ แต่ละตัวมีข้อควรระวังที่ไม่เหมือนกัน และงานวิจัยสนับสนุนไม่เท่ากันด้วย จะมีผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่อิ๊งสามารถแนะนำได้บ้าง เรามาเจาะลึกหัวข้อนี้กันดีกว่า!

▶️ Vitamin A ในสกินแคร์มีหลากหลายรูปแบบ อันไหนเหมาะกับคุณที่สุด

1️⃣ Retinoic Acid – เป็นรูปแบบ Vitamin A ที่ potent หรือรุนแรงที่สุด เพราะไม่ต้องมีการแปลงบนผิวเราเพื่อทำงานได้ ผิวเราเปิดประตูต้อนรับแบบง่ายๆเลย! เป็นรูปแบบที่มีงานวิจัยสนับสนุนเยอะที่สุดเรื่องผลดีของการรักษาริ้วรอย และสิว ตัวอย่างเช่น Tretinoin (Retacnyle, Retin-A) หรือ Adapalene (Differin) 

2️⃣ Retinaldehyde (Retinal) – ต้องมีการแปลงบนผิวก่อน 1 ครั้งถึงจะทำงานได้ จึงมีความแรงน้อยกว่า Retinoic Acid มีงานวิจัยสนับสนุนน้อยกว่า Retinoic Acid ในการรักษาริ้วรอย แต่ก็มีงานวิจัยใหม่ๆที่น่าสนใจมากๆ สร้างความปวดหัวให้คนคิดสูตรเพราะมีความไม่เสถียรและเสื่อมสลายเร็ว

3️⃣ Retinol – ตัวยอดฮิตในตลาดที่พบได้ในสกินแคร์สาย Anti-aging มากมาย ต้องทำการแปลง 2 ครั้ง จึงมีความรุนแรงน้อยลงไปอีก มีงานวิจัยรองรังว่าได้ผลในการรักษาริ้วรอยน้อยกว่า Retinoic Acid 

4️⃣ Retinyl Ester – ต้องทำการแปลงถึง 3 ครั้ง! อ่อนโยนที่สุดแต่ก็มีงานวิจัยสนับสนุนน้อยที่สุด ตกลงน้องได้ผลจริงป่าว? อิ๊งมักพบได้ในสกินแคร์ Anti-aging ที่มีราคาถูก ทั้งนี้ความรุนแรงของแต่ละประเภทก็ขึ้นอยู่กับ formulation หรือสูตรของผลิตภัณฑ์สกินแคร์ด้วย เช่น Retinol อาจแรงกว่า Retinaldehyde ก็ได้ถ้าในสูตรไม่มีส่วนผสมช่วยลดการระคายเคือง เพราะฉะนั้น “Formulation is key”

▶️ Dr.Different แบรนด์เกาหลีน้องใหม่ที่อิ๊งได้ใช้เวลาศึกษาส่วนผสม งานวิจัย และใช้เองมาประมาณ 3 อาทิตย์:

👉🏻เค้าใช้ Vitamin A ในรูปแบบ Retinaldehyde (Retinal) ที่ต้องมีการแปลงบนผิวก่อน 1 ครั้งถึงจะทำงานได้ ซึ่งเค้าก็มีให้เลือกความแรง 3 ขั้น คือ 0.05% 0.1% และ 0.12% 

👉🏻ทั้งสามตัวเป็นตัวเลือกที่ดีมากๆสำหรับคนที่เคยลอง Retinoic Acid อย่าง Tretinoin (Retacnyl, Retin-A) หรือ Adapalene (Differin) และพบว่ามันแรงไป และทำให้แสบ แดง หรือระคายเคือง อิ๊งเองก็เคยมีประสบการณ์พวกนั้นกับกลุ่ม Retinoic Acid เหมือนกัน ซึ่งทำให้ชีวิตลำบากอยู่หลายเดือนกว่าผิวจะชิน นอกจากนี้ตัว Retinaldehyde (Retinal) ใน Dr.Different ก็เหมาะสำหรับคนที่ใช้ Retinol อยู่แล้ว และต้องการอัพเลเวลความแรงเพื่อเห็นผลมากขึ้น แต่ยังไม่อยากไปถึงขั้น Retinoic Acid 

👉🏻พัฒนาโดยแพทย์ผิวหนังและวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง 11 คน และมีสิทธิบัตรการนำพา Retinaldehyde เข้าผิวผ่าน Niosome เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียร รวมถึงลดการระคายเคือง

👉🏻อย่างที่อิ๊งได้บอกไป Retinaldehyde สร้างความปวดหัวให้คนคิดสูตรเพราะมีความไม่เสถียรและเสื่อมสลายเร็ว แต่ทาง Dr.Different ได้มีการทำ stability และพบว่าปริมาณของ active ยังเท่าที่ผลิตภัณฑ์เคลมไว้หลัง 3 เดือนของการผลิต

👉🏻อย่างที่อิ๊งได้บอกไป “Formulation is key” ความรุนแรงของส่วนผสม Vitamin A ขึ้นอยู่กับสูตรผลิตภัณฑ์มากๆ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้อิ๊งชอบ Dr.Different เพราะเค้าใส่ส่วนผสมอย่าง Ceramide, Cholesterol และ Fatty Acids มาด้วย ซึ่งคนที่เคยได้ยินอิ๊งพูดถึงข้อดีของ Cerave อยู่เป็นประจำก็อาจจะคุ้นๆหู เพราะเป็นส่วนผสมที่เสริมเกราะป้องกันผิวได้โดยการเสริมไขมันดีบนหน้า! ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีความเสี่ยงต่ำลง โดยไม่ลดประสิทธิภาพด้วยครับ

▶️วิธีใช้:

1️⃣ไม่ว่าจะเป็น Vitamin A แบบไหนก็ตาม เราควรใช้ความระมัดระวัง และเริ่มจากการใช้น้อยๆก่อน ส่วนตัวแล้วอิ๊งใช้ผลิตภัณฑ์ Vitamin A แค่อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเท่านั้น

2️⃣ใช้ตอนกลางคืน เพราะ Vitamin A ไม่ชอบแสงแดดครับ แต่ไม่ต้องรีบทาแล้วต้องผิดไฟทันทีเลยก็ได้ น้องไม่ได้กลัวไฟห้องขนาดนั้นครับ 5555

3️⃣อิ๊งแนะนำให้ทำ Sandwich technique นั้นก็คือการ layer เพื่อลดการระคายเคือง: ลง Moisturizer ตามด้วย Vitamin A และจบด้วย Moisturizer อีกทีครับ! Vitamin A สามารถลงหลัง Moisturizer ได้โดยไม่ลดประสิทธิภาพของมัน

4️⃣หยุดใช้ active แรงๆอื่นๆใน routine เมื่อเริ่มใช้ Vitamin A แล้ว

*เพิ่มความแรงได้หลังจากการใช้มาหลายเดือนแล้ว และหน้าชินแล้ว

*คนตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ Vitamin A ครับ อิ๊งแนะนำเป็น Vitamin C ในการรักษาริ้วรอยแทน  

สามารถสั่งซื้อสินค้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:

✅ Inbox Facebook เพจ Dr.Different Thailand

✅ Shopee : Dr.Different Thailand link: 

https://bit.ly/39U8qmm 

#drdifferentth

เพื่อนๆ เคยมีประสบการณ์กับ Vitamin A ตัวไหนบ้าง มาแชร์กันเร็ววววว